ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กสอ. ปูพรมอุตฯอิเล็กทรอนิกส์รับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายสู่ยุทธศาสตร์ชาติ 4.0

กรุงเทพฯ 9 กันยายน 2559 - กรมส่งเสริมอุตสาหกรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับ              ยุทธศาสตร์ชาติในการผลักดันประเทศไทยเข้าสู่โมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” เร่งส่งเสริมกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าฯลฯ และกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม อาทิ หุ่นยนต์                เพื่อการอุตสาหกรรม แขนกลประกอบเครื่องจักร เป็นต้น โดยในปี 2558 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์                  มีมูลค่าอุตสาหกรรมรวมกว่า 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 1.1 ล้านล้านบาท และคาดว่าปี 2559                จะมีแนวโน้มเติบโตสูงร้อยละ 6.5 ต่อปี ทั้งนี้ การส่งเสริมดังกล่าวเพื่อตอบโจทย์ 5 กลุ่มอุตสาหกรรม 4.0                 อันสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย อาทิ กลุ่มอาหารและการเกษตร กลุ่มเทคโนโลยีการแพทย์ กลุ่มหุ่นยนต์และอุปกรณ์บังคับต่าง ๆ เป็นต้นอย่างไรก็ตาม กสอ. มีโครงการส่งเสริมและพัฒนาในอุตสาหกรรมดังกล่าว           อาทิ โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์โทรคมนาคม โครงการพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ รวมงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท



นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายผลักดันประเทศไทย               เข้าสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0” เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ Value-Based Economy” หรือเศรษฐกิจ              ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ให้ความสำคัญ กับการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใน 5 กลุ่ม ได้แก่               1.กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2.กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีการแพทย์                    3.กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4.กลุ่มดิจิทัล เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อและบังคับอุปกรณ์ต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว และ                     5. กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ดังกล่าว                 ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นส่วนที่สำคัญ รวมทั้งเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนและทำหน้าที่ต่าง              ให้เกิดประสิทธิภาพในอุตสาหกรมอื่น  ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งจะยิ่งทวีความสำคัญในด้านบทบาทและ               มูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นต่อไปในอนาคต

นายพสุ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สู่ยุทธศาสตร์ประเทศดังกล่าว จะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาใน 2 กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้แก่ 

• กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง หมายถึง การนำชิ้นส่วนหรือกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อไปต่อยอด ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับการผลิตผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ทั้งอุตสาหกรรมขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า               ไมโครชิพเพื่อการควบคุมชุดคำสั่ง เป็นต้น
• กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต หมายถึง การนำชิ้นส่วนหรือกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดระบบการควบคุมอัจฉริยะในขั้นตอนการผลิต                 ของอุตสาหกรรมโดยตรง ซึ่งจะช่วยทำหน้าที่ต่างๆให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างหลากหลาย รวมทั้ง            ก่อประโยชน์จากโอกาสในการเพิ่มความคุ้มค่าต่อการลงทุนรวมไปถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์                อาทิ หุ่นยนต์ในระบบการผลิตอัตโนมัติ แขนกลประกอบเครื่องจักร เป็นต้น 

ทั้งนี้เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวเพื่อให้เป็น ซูเปอร์คลัสเตอร์ ทั้งการผลักดัน               นักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต รวมทั้งขยายฐานการลงทุนของบริษัทที่อยู่ในไทย ให้เพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2558 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออกกว่า 32,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า                 1.1 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนในการนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ                            9.45 แสนล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2559 จะมีการเติบโตมากกว่าร้อยละ 6.5 ต่อปี โดยปี 2560 กสอ. มีแนวทางการดำเนินงานและสนับสนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่าง ๆ                   อาทิ โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์โทรคมนาคม โครงการพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์การพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านเครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์เป็นต้น                       ด้วยงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท และมีเป้าหมายพัฒนาสถานประกอบการให้ได้ประมาณ 200 กิจการ /             2,000 คน 



ด้านนายสมควร ฉายศิลปรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัมมิท อิเล็คโทรนิค คอมโพเน้นท์ จำกัด  ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ซัมมิท อิเล็คโทรนิค เป็นธุรกิจที่ดำเนินการโดยคนไทย 100 % ผลิตแผงวงจรเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมในรถยนต์ ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นเสมือนหัวใจหรือสมองของอุปกรณ์เครื่องใช้ดังกล่าวทั้งหมด โดยบริษัทดำเนินการมาแล้วกว่า 30 ปี มีกลุ่มลูกค้ามากกว่า 30 ราย ผลิตสินค้ามาแล้วกว่า 100 ล้านชิ้น สำหรับอุปกรณ์ดังกล่าวที่มีการใช้งานในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการผลิตโดยบริษัทของคนไทยแทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ยอดขายในปีที่ผ่านมาของซัมมิทฯ มีมูลค่ารวมกว่า 1500 ล้านบาท สัดส่วนในการดำเนินธุรกิจแบ่งเป็น การรับจ้างผลิตร้อยละ 25 การรับซื้อและผลิตชิ้นส่วนร้อยละ 65 และ                 ส่วนที่เหลือร้อยละ 10 เป็นการออกแบบการผลิตเองโดยบริษัท ซึ่งเป็นด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าร้อยละ 90 และรถยนต์ร้อยละ 10 โดยผลิตให้กับบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย อาทิ นิสสัน, ฮอนด้า, โซนี่, พานาโซนิค เป็นต้น 

นายสมควร กล่าวต่อว่า ในอนาคตที่กำลังจะเข้าสู่ยุค IOT (Internet ofThing) หรือ การเชื่อมโยง               ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เนื่องจากเป็นตัวควบคุมอุปกรณ์แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นชนิดมีสาย หรือชนิดไร้สาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันโลกได้ถูกเชื่อมโยงข้าหากันทั้งจากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การพัฒนาของเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน จึงทำให้ทิศทางการพัฒนาไอทีและอิเล็กทรอนิกส์ต้องเร่งพัฒนาและก้าวไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้              ทางบริษัทได้เตรียมพร้อมกับวิวัฒนาการดังกล่าวที่จะทำการผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ IOT หรือแม้แต่การเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า ทางซัมมิทฯก็มีความพร้อมกับการร่วมก้าวเดินพัฒนาเรื่องของชิ้นส่วนและแผงวงจรซึ่งจะเป็นหัวใจและสมองที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงและสั่งการการทำงานในส่วนนั้น

นอกจากนี้ทางบริษัทยังให้ความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ทางปริษัทและอีกหลายอุตสาหกรรมในประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับการเปลี่ยนแปลงจากการที่รับจ้างธรรมดา มาเป็น ODM และ OBM หรือ การผลิตที่มีการสร้างแบรนด์ของตัวเอง และการผลิตที่มีรูปแบบการพัฒนาดีไซน์รูปแบบสินค้าได้เอง ซึ่งจะก่อให้เกิดมูลค่าที่สูงขึ้น             ในทางอุตสาหกรรม โดยแผนขั้นต่อไปของบริษัทคือการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสู่การออกแบบแบรนด์สินค้า            เพื่อคนไทย รวมทั้งยุทธวิธีที่จะทดแทนการนำเข้าสู่การผลิตด้วยฝีมือคนไทย ออกแบบและสร้างแบรนด์โดยคนไทย โดยบริษัทได้กำหนดนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาใน 3 ทิศทาง คือ 1. การเพิ่มยอดขายให้เข้าสู่ธุรกิจหมื่นล้าน             ด้วยนวัตกรรมการออกแบบและสร้างแบรนด์ของตนเอง 2. การลดข้อผิดพลาดด้วยการพัฒนาเครื่องจักร               ที่มีความแม่นยำในการผลิต และ 3. การควบคุมห่วงโซ่อุปทาน หรือ SupplyChain ซึ่งมีนวัตกรรมที่เรียกว่า Smart Plan ที่จะเป็นตัวช่วยในการยกระดับธุรกิจและยกความสามารถของศักยภาพมนุษย์ ให้สามารถเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ดังที่มีการตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้ บริษัทยังได้มีการพัฒนาบุคลากรในองค์กรที่มีความรู้ความสามารถ ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ภายใต้โครงการ SEC INNOVATION AWARDS โดยเป็นการดัดแปลงและพัฒนาแนวคิด                     ให้เกิดนวัตกรรมที่ทันสมัย ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการช่วยองค์กรลดต้นทุน ทั้งในด้านเวลาและแรงงาน ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ และความคุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจ พร้อมเป็นแนวทางที่สำคัญในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามเป้าหมาย นายสมควรกล่าวทิ้งท้าย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระทรวงอุตฯ เร่งปูพรมพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ SMEs /OTOP ทั่วประเทศ ตลอดมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ  1  มีนาคม  2559 -  กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาลเร่งเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือ  SMEs  และ  OTOP  ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 800 ราย ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตาก ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริม  SMEs  และ  OTOP  ของประเทศ เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะภาครัฐที่ดูแลและส่งเสริมผู้ประกอบการ  SMEs  และ  OTOP  โดยตรง จึงมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการในหลายด้าน ทั้งให้ความรู้การทำธุรกิจรอบด้าน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือมาตรการด้านการเงิน และการให้ความรู้ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำก...

ด่วน!!! สถาบันอาหาร รับสมัครเอสเอ็มอีดูงานที่ญี่ปุ่น-จับคู่ธุรกิจในงานFoodex Japan 2016

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวน เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบ ธุรกิจแ ละอุตสาหกรรมอาหารทุกประเภท เข้าร่วม กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น   ระหว่างวันที่  6-12  มีนาคม  2559  เพื่อ สำรวจตลาด   และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าอาหารของชาวญี่ปุ่น   ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภค   แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น   พร้อมศึกษานวัตกรรมอาหาร  แนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  ในงาน  Foodex Japan 2016   ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  มีผู้แสดงสินค้า  3,000  ราย  จาก  79   ประเทศ   และมีผู้เข้าชมงานราว  77,000  คน   จัดขึ้นเพื่อเจรจาธุรกิจเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายปลีก   โดยผู้ประกอบการ ของไทย สามารถนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง พร้อมพบปะและเจรจาธุรกิจ  Business Matching  กับผู้นำเข้าสินค้าอาหารจากทั่วโลก พร้อมสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่สนใ จ นำเข้าผลิตภัณฑ์อาห า รของไทย ...

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E 2017 ชูศักยภาพไทยในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลก

นางมาลี โชคลํ้าเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงการจัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น (Bangkok RHVAC) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Bangkok E&E) ปี 2560 ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมเครื่องทำความเย็นไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้หารือและมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้การจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้เป็นเวทีแสดงศักยภาพของทั้งสองอุตสาหกรรมของไทย ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากล และในด้านนวัตกรรมสินค้าที่สอดรับกับบริบทโลกในปัจจุบัน      “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกในกลุ่มสินค้าดังกล่าว โดยปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการผลิตและส่งออก ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ในการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะจากโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งมีขนาดของข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลกขยายใหญ่ขึ้นมากทุกปี นอกจาก...