ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กสอ. โบท็อกซ์ อุตฯเครื่องสำอางไทย ผงาดเบอร์ 3 ของเอเชีย พร้อมดึงไอเดีย 4.0 ปรับภาพลักษณ์เครื่องสำอางไทย ปี 60


• กสอ. จับมือภาคเอกชน ภาคหน่วยงานวิจัย จัดประกวด “Thailand Cosmetic Contest 2016” ตั้งเป้าต่อยอดงานวิจัยด้านความงาม 

 

กรุงเทพฯ 20 กันยายน 2559 - กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เผยอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน มูลค่าตลาดรวม 2.1 แสนล้านบาท  โดยในปี 2559 กสอ.ได้จัดกิจกรรม “Thailand Cosmetic Contest 2016” มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อกระตุ้นห้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานของ กสอ. พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย ตองแก้ปัญหาหลัก 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ปัญหาด้านนวัตกรรม 2. ปัญหาด้านมาตรฐาน 3. ปัญหาด้านภาพลักษณ์และการสร้างตราสินค้า 4. ปัญหาด้านบรรจุภัณฑ์     

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม  กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2202 4575 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th 



นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถิติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากทุกเพศทุกวัยต่างหันมาให้ความใส่ใจเกี่ยวกับสุขภาพ ความงาม รวมทั้งการดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้ธุรกิจด้านความงาม คลินิกดูแลรักษาผิวพรรณ เครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากมายเพื่อรองรับกับความต้องการที่สูงขึ้นทุกปี  ทั้งนี้ ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย มีมูลค่าตลาดรวม 2.1 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นตลาดในประเทศ 60%  คิดเป็นมูลค่า 1.2 แสนล้านบาท และตลาดส่งออก 40% คิดเป็นมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี 2558) ถือเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย โดยเป็นรองแค่ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เท่านั้น ทั้งนี้ ในปี 2559 มีจำนวนผู้ประกอบการเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางที่จดทะเบียนทั่วประเทศ 1,781 ราย โดยแบ่งเป็นบริษัทจํากัด 1,572 ราย ห้างหุ้นส่วนจํากัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 206 ราย และบริษัทมหาชน 3 ราย (ข้อมูลจาก : กองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) เพิ่มขึ้นจากในปี 2557 ที่มีจำนวน 762 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังมีซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม เช่น สมุนไพร เคมี อาหาร สิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว พลาสติก โดยจากข้อมูลพบว่ามีสัดส่วนการขยายตัวในการส่งออกต่อเนื่องในกลุ่มอาเซียน

 นายพสุ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จะทำให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านเครื่องสำอางของโลกได้นั้น ต้องแก้จุดอ่อนของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมให้ได้มากที่สุด โดยจากการดำเนินงานที่ผ่านมาของ กสอ. พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรม

 

เครื่องสำอางต้องแก้ปัญหาหลัก 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ปัญหาด้านนวัตกรรม 2. ปัญหาด้านมาตรฐาน 3. ปัญหาด้านภาพลักษณ์และการสร้างตราสินค้า 4. ปัญหาด้านบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านนวัตกรรมถือเป็นปัญหาใหญ่ในทุกภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น กสอ.จึงมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเร่งแก้ไขและพัฒนา ในปัญหาดังกล่าว โดยในปี 2559 ได้ร่วมมือกับ คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง” ผู้ประกอบการการเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมต่อเนื่อง หน่วยงานวิชาการ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรม “Thailand Cosmetic Contest 2016” โครงการประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทย ซึ่งเป็นการเฟ้นหาต้นแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้ประกอบการทั่วไปได้ โดยเป้าหมายสูงสุดเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะสามารถสร้างการแข่งขันกับประเทศชั้นนำของโลกที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยการตั้งต้น การพัฒนาจากองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์   


 ด้าน นายสมประสงค์ พยัคฆพันธ์ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ให้ความเห็นว่า นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่มีการจัดตั้งคลัสเตอร์นี้ เพื่อร่วมมือกันผลักดันให้ธุรกิจเครื่องสำอางไทยสามารถไปได้ไกลในระดับนานาชาติ  ซึ่งผลจากการรวมกลุ่มทำให้ตลาดต่างประเทศเกิดการตอบรับในตัวสินค้าไทยได้เป็นอย่างดี โดยภาพรวมแล้วเครื่องสำอางไทยมีคุณภาพและมาตรฐานที่ดี มีความได้เปรียบในเรื่องคุณค่าจากวัตถุดิบ แต่ยังเสียเปรียบในเรื่องของการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าที่ยังขาดความเป็นสากล รวมทั้งนวัตกรรมในการผลิตที่จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ซึ่งตนมองว่าการรวมกลุ่มภายใต้การส่งเสริมของ กสอ. จะช่วยให้เกิดการแบ่งปันแนวทางและประสบการณ์ในการพัฒนา และการร่วมมือกันทำงานในลักษณะกลุ่มเช่นนี้ จะช่วยให้เติบโตได้ในลักษณะหมู่คณะ ไม่ใช่แค่สินค้าของใครเพียงคนเดียว ทั้งนี้ เป้าหมายต่อไปของคลัสเตอร์ฯ คือการจับมือกับประเทศมหาอำนาจในด้านเครื่องสำอางได้แก่ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ซึ่งตนเชื่อว่าในอีกระยะไม่กี่ปีข้างหน้า เครื่องสำอางไทยจะก้าวสู่ระดับมหภาคอย่างแน่นอน



ในมุมมองของนางลักษณ์สุภา ประภาวัต กรรมการผู้จัดการบริษัท อมาโทส จำกัด และอุปนายกสมาคมนักเคมีเครื่องสำอางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การใช้ภูมิปัญญาแบบไทยกับการผสมผสานกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้สินค้าเครื่องสำอางไทยมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก ปัจจุบันตลาดต่างประเทศมีความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ที่ดัดแปลงจากสมุนไพรไทยซึ่งจัดว่าเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าระดับโลกเป็นอย่างสูง สำหรับสินค้าของตนเกี่ยวข้องกับการดูแลร่างกายด้วยสมุนไพร 100 เปอร์เซ็นต์ มีความต้องการในประเทศนอร์เวย์ และประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเกิดจากการวิจัยเพื่อยืนยันผลเทียบค่ากับมาตรฐาสากล มีการศึกษาทิศทางและกำลังซื้อของผู้บริโภค และการก้าวทันกระแสโดยเฉพาะการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวและศึกษาตลอดเวลา รวมทั้งนำความได้เปรียบเหล่านั้นมาเป็นอาวุธที่สำคัญเพื่อการแข่งขัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดมูลค่าและการเป็นที่ยอมรับต่อไปได้ในระดับสากล

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม  กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2202 4575 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th 

###

 

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2202 4414- 18 / เผยแพร่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สถาบันอาหาร - OTAGAI Forum Association ทำ MOU แลกเปลี่ยนข้อมูลหนุนเอสเอ็มอีไทย-ญี่ปุ่น

นายบรรสาน  บุนนาค เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว   (แถวยืนที่  4  จากซ้าย) ร่วมเป็นสักขีพยานลงนามความร่วมมือบันทึกข้อตกลง (MOU)   ระหว่าง  นา ยยงวุฒิ   เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร (แถวนั่งขวา)   และ Mr.Daisuke Matsushima, Joint CEO of Otagai Forum Association   (แถวนั่งซ้าย)  โดยมี ผู้แทนจาก  OTAGAI Forum Association  และ ผู้แทนจ ากสถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว ให้เกียรติร่วมงาน  ณ สถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว   ประเทศญี่ปุ่น  เมื่อเร็วๆ นี้    เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลและกิจกรรมที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยและญี่ปุ่นได้ใช้ประโยชน์ ภายใต้  OTAGAI  Project  ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ทั้งสองประเทศเกิดการพัฒนาธุรกิจ ระดับเอสเอ็มอี ใหม่ๆ   ในอนาคต

สถาบันอาหาร จัดสัมมนา “ทิศทางการบริโภคอาหารแปรรูปไทยในอนาคต”

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร  เข้าร่วมการสัมมนาเรื่อง  "นวัตกรรม หรือธรรมชาติ ”  ทิศทางการบริโภคอาหารแปรรูปไทยในอนาคต   ในวันพฤหัสบดีที่  14  กันยายน  2560  เวลา  0 8.30   -   16.00   น. ณ ห้องจูเนียร์ บอลรูม โรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ แกรนด์   สุขุมวิท โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดธุรกิจอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ กิจกรรมสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้น ภายใต้โครงการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนผู้ประกอบการอาหารเพื่ออุตสาหกรรมอาหารอนาคต (Future Food)  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาให้กับผู้ประกอบการท ี่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร  เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และเป็นประโยชน์ในการพัฒนา สร้างโอกาสทางการค้าและการตลาดให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต   โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น   สามารถ ดูรายละเอียดและ ลงทะเบียนตอบรับการเข้าร่วมได้ ที่ http://fic.nfi.or.th  หรือ สอบถามเพิ่มเติมที่ คุณกนกวรรณ  ฝ่ายวิจัยและข้อมูล  โทร .   0-2422 86...

กรมส่งเสริมการค้าฯเผยโอมานห้ามนำเข้าไก่จาก 7 ประเทศ ชี้ไก่ไทยได้รับอานิสงค์จากความนิยมในคุณภาพ-มาตรฐานการผลิต ส่งออกไก่ภาพรวม 5 เดือนเพิ่มขึ้น 2.4 แสนตัน

นาง นันท วัลย์  ศกุนต นาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการเจาะตลาดเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไทยตามนโยบายของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริ กัล ยะ รมว.พาณิชย์ว่า  กระทรวงเกษตรและประมง ประเทศโอมานได้ออกประกาศมติรัฐมนตรีห้ามนำเข้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่แข็ง ไก่มีชีวิต จากประเทศเวียดนาม แคนาดา ตุรกี สหรัฐฯ  บูร์ กิ นาฟา โซ ไนเจอร์ และไนจีเรียจนกว่าจะมีประกาศยกเลิกการห้ามนำเข้าอย่างเป็นทางการ  ​ ทั้งนี้ โอมานนำเข้าไก่สด จากทั่วโลก ในปี 57 มูลค่า 198.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  หรือ   ลดลง 12 %  เมื่อเทียบ ก่อน   โดย โอมานนำเข้า ไก่สดแช่แข็งจากไทยมูลค่า 16.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดว่าปี 58 จะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะในช่วง 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.)ปีนี้ ไทยส่งออกไก่แช่แข็งไปโอมานแล้ว 8.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ​ สำหรับการส่ ง ออก ไก ่ สดแช ่ เย็น แช ่ แข็ง และแปรรูป ของไทยไปทั่วโลก   กรมฯตั้ง เป ้ าหมายการส ่ง ออกป ีนี้ ขยายตัว 5 %  คิดเป ็ นมูลค ่ าประมาณ   2,417 ล ้ านเหรียญสหรัฐ ฯ  ในช่วง 5 เดือนแรก ส่งออกไปแล้ว   957  ล้านเหร...