ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

"สานพลังประชารัฐ ยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา "เพิ่มขีดความสามารถเด็กไทยทัดเทียมเวทีโลก



ประเทศไทยทุกวันนี้ ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรผู้มีความรู้ความชำนาญในทักษะวิชาชีพยังมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ นอกจากปัญหาทางด้านปริมาณผู้เรียนไม่เพียงพอแล้ว ทัศนคติของสังคมทีมีต่อผู้เรียนอาชีวะ ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้เรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองในการส่งลูกหลานมาเรียนอีกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานหลักของประเทศไม่วาจะเป็นภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมจึงไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ จึงได้ผนึกกำลังร่วมกันยกระดับคุณภาพวิชชีอาชีวศึกษา นำโดยกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน 13 องค์กรเอกชนชั้นนำระดับประเทศ และภาคประชาสังคม ฟอร์มทีมจัดตั้งคณะทำงาน สานพลังประชารัฐ ยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา”ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ



การลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือสานพลังประชารัฐ ยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา (Competitive Workforce)” จึงได้เกิดขึ้นเพื่อเดินหน้าพัฒนาอาชีวศึกษาให้มีความเป็นเลิศในแต่ละด้าน ตลอดจนยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษาให้มีความสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก



พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ กล่าวถึงการขับเคลื่อนภาระกิจในครั้งนี้ว่า การทำงานของคณะทำงานฯ มีภารกิจหลัก 5 ประการ คือ การสร้างค่านิยมหรือแรงจูงใจให้เยาวชนหันมาเรียนในสายอาชีวะมากขึ้น การผลิตผู้เรียนอาชีวะในสาขาที่ขาดแคลนให้มีปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ การสร้างคุณภาพให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนอาชีวะ การสร้างอาชีวะให้มีความเป็นเลิศในแต่ละด้าน ตลอดจนการทำให้อาชีวะมีความเป็นสากลและความร่วมมือกับต่างประเทศมากขึ้น

“บทบาทของภาครัฐในการขับเคลื่อน จะทำหน้าที่ในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ          ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ข้อมูลสถิติ การกำหนดและประเมินมาตรฐานฝีมือแรงงาน การสนับสนุนด้านนโยบายรวมถึงปรับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์เพื่อเกื้อหนุนภาคเอกชนในการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ ตลอดจนการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้คณะกรรมการได้กำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงานอย่างชัดเจน รวมถึงมีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะ โดยตั้งเป้าให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลา 2 ปี และเมื่อครบกำหนดทุกฝ่ายจะร่วมประเมินผลการทำงานและพิจารณา เพื่อนำไปขยายผลให้เกิดความต่อเนื่อง และส่งผลสู่การขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไป” พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวเพิ่มเติม



ด้าน นายรุ่งโรน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน                   ได้กล่าวถึงความร่วมมือในการขับเคลื่อนในส่วนของภาคเอกชนว่า การขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษาในส่วนของภาคเอกชนมีบริษัทชั้นนำระดับประเทศที่เข้าร่วมจำนวนทั้งสิ้น 13 องค์กรซึ่งประกอบด้วย เอสซีจี บจก.การบินกรุงเทพ บมจ.ช.การช่าง บจก. ซัมมิท โอโต บอดี อินดัสตรี บมจ. ซีพี ออลล์ บมจ. ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย บจก.น้ำตาลมิตรผล บจก. ฤทธา บจก. สรรพสินค้าเซ็นทรัล บมจ.ไออาร์พีซี บมจ. ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล และ บจก. ฮอนด้า ออโตโมบิล

“สำหรับแนวทางการในการขับเคลื่อนด้านการยกระดับวิชาชีพฯ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก (Quick Win) ซึ่งใช้เวลา 6 เดือน ในการดำเนินภาระกิจ 3 ด้าน ได้แก่ 1. Re-branding สร้างแรงจูงใจผ่านภาพลักษณ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นตัวเยาวชน หรือผู้ปกครอง ทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมกันนี้จะต้องสร้างความภาคภูมิใจให้กับบุคลากรสายวิชาชีพอีกด้วย 2. สร้าง Excellence Model Schools โดยพิจารณาสถานศึกษาอาชีวศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ มีรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม สามารถเป็นพี่เลี้ยงสถานศึกษา รวมทั้งการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน และให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม 3. ร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูล (Database) ทั้งในส่วนอุปสงค์ความต้องการแรงงานวิชาชีพ และอุปทานของแรงงานวิชาชีพที่เรียนจบมาในภาพรวมของทั้งประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวของธรุกิจ

“ในส่วนระยะที่สองคือ Medium & Long term คณะทำงานมีแผนกำหนดมาตรฐานทักษะวิชาชีพ การเรียนการสอน การจ้างงาน ค่าตอบแทน ฯลฯ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือ  พร้อมแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อภาพรวมการยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา และส่งเสริมการยกระดับคุณภาพให้ยั่งยืน เช่น บรรจุการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพเข้าไปในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงผลักดันให้มีหน่วยงานที่รวบรวม Database ของวิชาชีพอาชีวศึกษาให้เป็นรูปธรรม ตลอดจนพัฒนาหลักสูตร ครูผู้สอน โดยให้มีสถาบันพัฒนาครูระดับอาชีวศึกษา” นายรุ่งโรจน์ กล่าวเพิ่มเติม



น.ส.ศุภิสรา กระแสงนพคุณ อายุ 18 ปี นักศึกษาชั้นปวช. 3 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอี่ยมละออ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับขับเคลื่อนครั้งใหญ่ของคณะทำงานฯ ในครั้งนี้ว่า การขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือที่จริงจังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือเป็นเรื่องที่ดีมาก นักศึกษาจะได้ฝึกงาน ฝึกฝนทักษะฝีมือและเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานจริงจากสถานประกอบการส่วนสถานประกอบการเอง ก็มีความต้องการแรงงานที่มีทักษะฝีมือเป็นจำนวนมาก หากนักศึกษามีความรู้ความสามารถ และมีวินัย ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี  ก็ย่อมมีโอกาสได้บรจุเป็นพนักงานของสถานปรกอบการนั้นๆ 

“อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์การเรียนการสอนที่มีความทันสมัย อย่างเช่น หนูเรียนเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ก็อยากให้มีการจัดโซนห้องครัวเย็นกับห้องครัวร้อนค่ะ นอกจากนี้อยากให้สังคมมองภาพลักษณ์ของนักเรียนอาชีวะไปในทางที่ดี เพราะปัจจุบันสังคมจะมองว่าอาชีวะต้องแย่ ต้องโดเรียน แต่จริงๆ แล้วคนที่ตั้งใจเรียนจริงๆ ก็มีเยอะ หนูดีใจที่มีโครงการนี้เห็นความสำคัญของอาชีวศึกษา เพราะจะช่วยให้สังคมมองพวกเราและการเรียนอาชีวะในมุมมองที่ดีขึ้นค่ะ” น.ส.ศุภิสรา กล่าว



นายเศรษฐพล สายทอง อายุ 18 ปี นักศึกษาชั้นปวช. 3 สาขาวิชาการโรงแรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอี่ยมละออ เล่าถึงประสบการณ์ที่เคยได้เข้าไปฝึกงานว่า ผมได้เข้าไปฝึกงานกับโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้ในเรื่องของการปรับตัวในเรื่องงาน ส่วนที่เราไม่เคยสัมผัสโดยตรงรวมทั้งการเผชิญหน้ากับแขกแบบตัวต่อตัว ทำให้เราสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานในอนาคตได้เป็นอย่างดี ซึ่งการที่หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกันอย่างนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับนักเรียนมากที่สุดครับ เพราะจะทำให้นักเรียนได้มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น”

การผนึกกำลังและความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งภาครัฐ องค์กรเอกชนชั้นนำระดับประเทศ และภาคประชาสังคม จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษาให้ก้าวไกล และเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศ

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สถาบันอาหาร - OTAGAI Forum Association ทำ MOU แลกเปลี่ยนข้อมูลหนุนเอสเอ็มอีไทย-ญี่ปุ่น

นายบรรสาน  บุนนาค เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว   (แถวยืนที่  4  จากซ้าย) ร่วมเป็นสักขีพยานลงนามความร่วมมือบันทึกข้อตกลง (MOU)   ระหว่าง  นา ยยงวุฒิ   เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร (แถวนั่งขวา)   และ Mr.Daisuke Matsushima, Joint CEO of Otagai Forum Association   (แถวนั่งซ้าย)  โดยมี ผู้แทนจาก  OTAGAI Forum Association  และ ผู้แทนจ ากสถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว ให้เกียรติร่วมงาน  ณ สถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว   ประเทศญี่ปุ่น  เมื่อเร็วๆ นี้    เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลและกิจกรรมที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยและญี่ปุ่นได้ใช้ประโยชน์ ภายใต้  OTAGAI  Project  ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ทั้งสองประเทศเกิดการพัฒนาธุรกิจ ระดับเอสเอ็มอี ใหม่ๆ   ในอนาคต

สถาบันอาหาร จัดสัมมนา “ทิศทางการบริโภคอาหารแปรรูปไทยในอนาคต”

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร  เข้าร่วมการสัมมนาเรื่อง  "นวัตกรรม หรือธรรมชาติ ”  ทิศทางการบริโภคอาหารแปรรูปไทยในอนาคต   ในวันพฤหัสบดีที่  14  กันยายน  2560  เวลา  0 8.30   -   16.00   น. ณ ห้องจูเนียร์ บอลรูม โรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ แกรนด์   สุขุมวิท โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดธุรกิจอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ กิจกรรมสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้น ภายใต้โครงการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนผู้ประกอบการอาหารเพื่ออุตสาหกรรมอาหารอนาคต (Future Food)  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาให้กับผู้ประกอบการท ี่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร  เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และเป็นประโยชน์ในการพัฒนา สร้างโอกาสทางการค้าและการตลาดให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต   โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น   สามารถ ดูรายละเอียดและ ลงทะเบียนตอบรับการเข้าร่วมได้ ที่ http://fic.nfi.or.th  หรือ สอบถามเพิ่มเติมที่ คุณกนกวรรณ  ฝ่ายวิจัยและข้อมูล  โทร .   0-2422 86...

กรมส่งเสริมการค้าฯเผยโอมานห้ามนำเข้าไก่จาก 7 ประเทศ ชี้ไก่ไทยได้รับอานิสงค์จากความนิยมในคุณภาพ-มาตรฐานการผลิต ส่งออกไก่ภาพรวม 5 เดือนเพิ่มขึ้น 2.4 แสนตัน

นาง นันท วัลย์  ศกุนต นาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการเจาะตลาดเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไทยตามนโยบายของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริ กัล ยะ รมว.พาณิชย์ว่า  กระทรวงเกษตรและประมง ประเทศโอมานได้ออกประกาศมติรัฐมนตรีห้ามนำเข้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่แข็ง ไก่มีชีวิต จากประเทศเวียดนาม แคนาดา ตุรกี สหรัฐฯ  บูร์ กิ นาฟา โซ ไนเจอร์ และไนจีเรียจนกว่าจะมีประกาศยกเลิกการห้ามนำเข้าอย่างเป็นทางการ  ​ ทั้งนี้ โอมานนำเข้าไก่สด จากทั่วโลก ในปี 57 มูลค่า 198.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  หรือ   ลดลง 12 %  เมื่อเทียบ ก่อน   โดย โอมานนำเข้า ไก่สดแช่แข็งจากไทยมูลค่า 16.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดว่าปี 58 จะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะในช่วง 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.)ปีนี้ ไทยส่งออกไก่แช่แข็งไปโอมานแล้ว 8.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ​ สำหรับการส่ ง ออก ไก ่ สดแช ่ เย็น แช ่ แข็ง และแปรรูป ของไทยไปทั่วโลก   กรมฯตั้ง เป ้ าหมายการส ่ง ออกป ีนี้ ขยายตัว 5 %  คิดเป ็ นมูลค ่ าประมาณ   2,417 ล ้ านเหรียญสหรัฐ ฯ  ในช่วง 5 เดือนแรก ส่งออกไปแล้ว   957  ล้านเหร...