ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กสอ. สนองนโยบายประเทศไทย 4.0 ติดปีก SMEs โชว์ 5 โครงการเร่งด่วนครึ่งปีหลัง พร้อมคาดสิ้นปี 59 GDP-SMEs โต 6%


กรุงเทพฯ 12 กรกฎาคม 2559  - กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เผย 5 โครงการเร่งด่วนในการส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ไทย ได้แก่ โครงการปรับแผนธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถเอสเอ็มอี โครงการสุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โครงการสนับสนุนเครือข่ายเอสเอ็มอีใน 18 กลุ่มจังหวัดและโครงการยกระดับผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอีสู่ตลาดโลก ทั้งนี้ เพื่อสอดรับตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรม SMEs และผลักดันให้การส่งเสริมSMEs เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการให้ได้กว่า 7,000 กิจการ / 3,000 ราย / 170 ผลิตภัณฑ์ ทั่วประเทศภายใต้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 671 ล้านบาท และคาดว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของ SMEs (GDP-SME) สิ้นปี 2559 จะขยายตัวสูงถึง 6%

นายประสงค์ นิลบรรจง รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักของประเทศไทยในการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 2.74 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 99.7 ของจำนวนผู้ประกอบการวิสาหกิจทั้งประเทศและมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของ SMEs กว่า 5.5 ล้านล้านบาท โดยในปี 2559 กสอ. ได้ดำเนินโครงการเร่งด่วนตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน เพื่อรองรับนโยบายตามที่รัฐบาลได้วางไว้ซึ่งมี 5 โครงการเร่งด่วน ดังนี้ 1.โครงการปรับแผนธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถเอสเอ็มอี 2.โครงการสุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด 3.โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด 4. โครงการสนับสนุนเครือข่ายเอสเอ็มอีใน 18 กลุ่มจังหวัด และ 5. โครงการยกระดับผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอีสู่ตลาดโลกโดยทั้ง 5 โครงการ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพการผลิต (Productivity) ของ SMEsในด้านต่างๆ อาทิ การสร้างระบบบริหารจัดการสากล 
การยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจ การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การยกระดับระบบการผลิตสู่การผลิตบนฐานนวัตกรรม และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 

โดยรายละเอียดและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานทั้ง  5 โครงการ มีดังต่อไปนี้

1.โครงการปรับแผนธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถเอสเอ็มอีโครงการที่ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบปัญหาในภาคการผลิตอย่างเร่งด่วน (Turn Around) เพื่อฟื้นฟูให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้ SMEs สามารถวิเคราะห์สภาพปัญหาและแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นได้อย่างตรงจุด และนำไปสู่การต่อยอดพัฒนาได้อย่างถูกต้อง ภายใต้งบประมาณโครงการ 430 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเข้าไปช่วยเหลือ SMEs จำนวน 7,000 กิจการทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อจบโครงการคาดว่าไม่ต่ำกว่า 4,000 กิจการ จะสามารถสร้างผลิตภาพเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 6

2.โครงการสุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด โดยการคัดเลือกผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตจากแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ รวม 77 จังหวัด ใน 3 ประเภท ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ (StartUp) กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพในการตลาด(RisingStar) และกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว(TurnAround) เข้าสู่กระบวนการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งจัดให้มีนักวินิจฉัยที่ปรึกษา การฝึกอบรม การส่งเสริมการตลาด เพื่อให้ SMEs ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการเป็นต้นแบบในการพัฒนาศักยภาพของ SMEs ไทยในการขยายธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ โครงการสุดยอด SMEจังหวัด ใช้งบประมาณโครงการ 31 ล้านบาท สามารถพัฒนาผู้ประกอบการต้นแบบได้ 222 กิจการ แบ่งเป็นธุรกิจกลุ่ม StartUp จำนวน 72 กิจการ ธุรกิจกลุ่มRising Star จำนวน 74 กิจการ และธุรกิจกลุ่ม TurnAround จำนวน 76 กิจการ โดยภาพรวมความพึงพอใจของโครงการฯมากถึงร้อยละ 90 คิดเป็นมูลค่าเพิ่มของโครงการได้ถึง 15.2 ล้านบาท

3.โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการ SMEs เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ให้สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาสินค้าและบริการที่ยังขาดการพัฒนาและออกแบบให้ตรงตามความต้องการของตลาด โดยโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณ 37 ล้านบาท ตั้งเป้าพัฒนากิจการจำนวน 177 กิจการ/ 177 ผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมได้กิจการละไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5

4.โครงการสนับสนุนเครือข่ายเอสเอ็มอีใน 18 กลุ่มจังหวัด เป็นโครงการที่สนับสนุนให้เกิดการรวมกันเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม หรือคลัสเตอร์ (Cluster) เพื่อสร้างความร่วมมือ รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ ระหว่างกัน อาทิ คลัสเตอร์เครื่องหนังไทยคลัสเตอร์ผ้าทอพื้นเมืองอุดรธานี คลัสเตอร์แป้งมันสำปะหลัง และคลัสเตอร์บรรจุภัณฑ์โลหะ เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมหลายพื้นที่ทั่วประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การตลาด และการบริหารจัดการ ซึ่งโครงการนี้สามารถพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชน ในเครือข่ายคลัสเตอร์ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ถึง 2,317 ราย จากทั้ง 17 เครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้กว่า 2,300 ล้านบาท จากงบประมาณในการดำเนินการประมาณกว่า 88 ล้านบาท

5.โครงการยกระดับผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอีสู่ตลาดโลก มุ่งเน้นที่อุตสาหกรรมแฟชั่นและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญของไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์(Design) รวมทั้งออกแบบ (Innoneering) และเทคโนโลยีการผลิต ตลอดจนคุณภาพของผลิตภัณฑ์แก่ผู้ประกอบการ SMEs ให้ทัดเทียมกับนานาชาติและรองรับการเปิดเสรีของ ASEANEconomic Community (AEC) เพื่อการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในตลาดสากล โดยปีนี้ใช้งบประมาณในการพัฒนาโครงการ 85 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพมุ่งสู่ตลาดสากลได้ไม่ต่ำกว่า 1,135 ราย / 70 กิจการ และสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 160 ล้านบาท

ทั้งนี้ การดำเนินการทั้ง 5 โครงการเร่งด่วนของ กสอ.จะสามารถสร้างความพร้อมให้ SMEs ในทุกด้านทั้งกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ การเพิ่มผลิตภาพ เน้นการสร้างความสอดคล้องกับตลาดและนวัตกรรม รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้สูงขึ้น ตลอดจนสร้างผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นนอกจากนี้ กสอ. ยังมีนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการในปี 2559 และอีก 3 ปีข้างหน้า ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบซุปเปอร์คลัสเตอร์ นโยบาย 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (NewS-curve)เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0 และเอสเอ็มอี สปริงอัพ (SMEsSpring Up) เพื่อสอดรับตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรม SMEsและผลักดันให้การส่งเสริม SMEs เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ กสอ. คาดว่าสิ้นปี 2559 GDP SMEs สิ้นปี 2559 จะขยายตัวสูงถึง 6%นายประสงค์ กล่าวทิ้งท้าย

 

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 โทรศัพท์. 0-2202-4414-18หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th หรือ www.facebook.com/dip.pr

 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สถาบันอาหาร - OTAGAI Forum Association ทำ MOU แลกเปลี่ยนข้อมูลหนุนเอสเอ็มอีไทย-ญี่ปุ่น

นายบรรสาน  บุนนาค เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว   (แถวยืนที่  4  จากซ้าย) ร่วมเป็นสักขีพยานลงนามความร่วมมือบันทึกข้อตกลง (MOU)   ระหว่าง  นา ยยงวุฒิ   เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร (แถวนั่งขวา)   และ Mr.Daisuke Matsushima, Joint CEO of Otagai Forum Association   (แถวนั่งซ้าย)  โดยมี ผู้แทนจาก  OTAGAI Forum Association  และ ผู้แทนจ ากสถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว ให้เกียรติร่วมงาน  ณ สถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว   ประเทศญี่ปุ่น  เมื่อเร็วๆ นี้    เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลและกิจกรรมที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยและญี่ปุ่นได้ใช้ประโยชน์ ภายใต้  OTAGAI  Project  ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ทั้งสองประเทศเกิดการพัฒนาธุรกิจ ระดับเอสเอ็มอี ใหม่ๆ   ในอนาคต

สถาบันอาหาร จัดสัมมนา “ทิศทางการบริโภคอาหารแปรรูปไทยในอนาคต”

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร  เข้าร่วมการสัมมนาเรื่อง  "นวัตกรรม หรือธรรมชาติ ”  ทิศทางการบริโภคอาหารแปรรูปไทยในอนาคต   ในวันพฤหัสบดีที่  14  กันยายน  2560  เวลา  0 8.30   -   16.00   น. ณ ห้องจูเนียร์ บอลรูม โรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ แกรนด์   สุขุมวิท โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดธุรกิจอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ กิจกรรมสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้น ภายใต้โครงการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนผู้ประกอบการอาหารเพื่ออุตสาหกรรมอาหารอนาคต (Future Food)  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาให้กับผู้ประกอบการท ี่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร  เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และเป็นประโยชน์ในการพัฒนา สร้างโอกาสทางการค้าและการตลาดให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต   โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น   สามารถ ดูรายละเอียดและ ลงทะเบียนตอบรับการเข้าร่วมได้ ที่ http://fic.nfi.or.th  หรือ สอบถามเพิ่มเติมที่ คุณกนกวรรณ  ฝ่ายวิจัยและข้อมูล  โทร .   0-2422 86...

กรมส่งเสริมการค้าฯเผยโอมานห้ามนำเข้าไก่จาก 7 ประเทศ ชี้ไก่ไทยได้รับอานิสงค์จากความนิยมในคุณภาพ-มาตรฐานการผลิต ส่งออกไก่ภาพรวม 5 เดือนเพิ่มขึ้น 2.4 แสนตัน

นาง นันท วัลย์  ศกุนต นาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการเจาะตลาดเพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไทยตามนโยบายของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริ กัล ยะ รมว.พาณิชย์ว่า  กระทรวงเกษตรและประมง ประเทศโอมานได้ออกประกาศมติรัฐมนตรีห้ามนำเข้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่แข็ง ไก่มีชีวิต จากประเทศเวียดนาม แคนาดา ตุรกี สหรัฐฯ  บูร์ กิ นาฟา โซ ไนเจอร์ และไนจีเรียจนกว่าจะมีประกาศยกเลิกการห้ามนำเข้าอย่างเป็นทางการ  ​ ทั้งนี้ โอมานนำเข้าไก่สด จากทั่วโลก ในปี 57 มูลค่า 198.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  หรือ   ลดลง 12 %  เมื่อเทียบ ก่อน   โดย โอมานนำเข้า ไก่สดแช่แข็งจากไทยมูลค่า 16.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดว่าปี 58 จะมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะในช่วง 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.)ปีนี้ ไทยส่งออกไก่แช่แข็งไปโอมานแล้ว 8.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ​ สำหรับการส่ ง ออก ไก ่ สดแช ่ เย็น แช ่ แข็ง และแปรรูป ของไทยไปทั่วโลก   กรมฯตั้ง เป ้ าหมายการส ่ง ออกป ีนี้ ขยายตัว 5 %  คิดเป ็ นมูลค ่ าประมาณ   2,417 ล ้ านเหรียญสหรัฐ ฯ  ในช่วง 5 เดือนแรก ส่งออกไปแล้ว   957  ล้านเหร...