ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สถาบันอาหาร จับมือเจโทร ชูความร่วมมือครั้งใหม่ THE NEW NFI-JAPAN DESK ดันไทยเป็นฐานผลิตสินค้าอาหารแปรรูปเพื่อส่งออก


สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือเจโทร กรุงเทพฯ จัดทำความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่างกัน (THE NEW NFI-JAPAN DESK)ขยายจากกรอบเดิมที่เน้นสนับสนุนผู้ประกอบการด้านอาหารของไทยเพื่อการส่งออกไปญี่ปุ่นเท่านั้น ครั้งนี้ครอบคลุมการนำเข้า-ส่งออก การร่วมทุน การให้คำปรึกษา การจับคู่ธุรกิจ และการขยายกิจการของผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น โดยใช้กลยุทธ์หลัก Food Value Chain ให้มีประสิทธิภาพสูงสูด  มั่นใจเพิ่มปริมาณการส่งออกให้ทั้งไทยและญี่ปุ่นได้มากขึ้น ทั้งมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าอาหารแปรรูปเพื่อการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลางในอนาคต


นายยงวุฒิ  เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าสถาบันอาหารได้มีความตกลงร่วมมือครั้งใหม่กับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือเจโทร กรุงเทพฯ (THE NEW NFI-JAPAN DESK) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการด้านธุรกิจสินค้าอาหารของไทยและญี่ปุ่น เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการเติบโตของธุรกิจโดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา ลดปัญหาด้านมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารที่เกิดจากการขาดข้อมูลหรือความเข้าใจผิด ทั้งเพื่อเร่งเดินหน้ากำหนดยุทธศาสตร์ความร่วมมือในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารระหว่างไทยและญี่ปุ่นอย่างจริงจัง รวมทั้งมีแนวทางในการส่งเสริมการค้าระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น 

ความร่วมมือครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายการให้บริการกว้างขวางขึ้น ได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าอาหารของไทยและญี่ปุ่นที่ต่างต้องการส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่นหรือประเทศไทย  หรือต้องการร่วมลงทุนเป็นพันธมิตรกับบริษัทท้องถิ่นของแต่ละประเทศ หรือต้องการขยายธุรกิจในญี่ปุ่นหรือประเทศไทย รวมถึงต้องการนำสินค้าอาหารส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอีกด้วย ความร่วมมือครั้งใหม่นี้แบ่งเป็นการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว 2ด้านด้วยกัน คือ 1) ด้านการให้บริการข้อมูลและคำปรึกษา อาทิ ข้อมูล กฎ ระเบียบ มาตรฐานสินค้าอาหาร ขั้นตอนการนำเข้า-ส่งออ ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาหารและมาตรการใหม่ๆ ข้อมูลด้านการตลาดและแนวโน้ม และการตรวจสอบสินค้าอาหารโดยห้องปฏิบัติการทดสอบ เป็นต้น   2) ด้านการจัดสัมมนาเชิงวิชาการในประเด็นที่เกี่ยวข้องธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ รวมถึงการจับคู่ธุรกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ทั้งนี้ทั้งสถาบันอาหารและเจโทรมีบทบาทหลักร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นในการให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการญี่ปุ่นนอกจากนี้ยังทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐของแต่ละฝ่ายที่มีบทบาทหน้าที่ควบคุม ดูแลงานด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

อนึ่ง ในปี 2559 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่าราว 1.3 แสนล้านบาท ขยายตัวขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทยรองจากกลุ่มประเทศอาเซียน มีสินค้าหลักที่สามารถเติบโตได้ดี อาทิ ไก่ กุ้ง ทูน่ากระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน และสับปะรดกระป๋อง เป็นต้น

 

     ด้านนายฮิโรคิ  มึทซึมาตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น(เจโทร) กรุงเทพฯ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างสถาบันอาหารและเจโทรในครั้งใหม่นี้ มีกรอบที่กว้างขวางขึ้น เน้นการขยายตลาดสินค้าอาหารแปรรูปโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 โดยเฉพาะตลาดอาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลางซึ่งมีศักยภาพสูง  จากเดิมที่สนับสนุนเฉพาะการนำเข้าส่งออกระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งจะใช้กลยุทธ์การสร้างความแข็งแกร่งด้าน Food Value Chain หรือห่วงโซ่การผลิตสินค้าอาหารแปรรูปที่นำเข้าวัตถุดิบมาจากญี่ปุ่นเพื่อมาผลิตในประเทศไทย และผลักดันให้ส่งออกไปตลาดประเทศเป้าหมาย

สำหรับการส่งออกสินค้าอาหาร เกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นในภาพรวม พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา โดยในปี 2559 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 750,300 ล้านเยน  ส่วนเป้าหมายการส่งออกในปี 2562 ตั้งไว้ที่ 1 ล้านล้านเยน

สำหรับตลาดส่งออกสินค้าอาหารของญี่ปุ่นมายังประเทศไทย ในปี 2559 มีอัตราหดตัวลง 8.2%หรือมีมูลค่าราว 32,900 ล้านเยน โดยไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 6 สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ หนังหมู ปลาโอ ปลาทูน่า และปลาซาบะ เป็นต้น ทั้งนี้การหดตัวดังกล่าวเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเยนแข็งตัวขึ้น และสินค้าประมงจากญี่ปุ่นขาดแคลนและมีคุณภาพลดลง เนื่องจากปลาคัทสึ ปลาโอ ปลาทูน่าในทะเลมีปริมาณน้อยลง อีกทั้งฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยเชลล์ที่ฮอกไกโดซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นชั่วคราว เชื่อว่าในปี 2560 นี้อัตราเติบโตจะกลับมาสู่สภาวะปกติคือเฉลี่ยปีละประมาณ 10%

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระทรวงอุตฯ เร่งปูพรมพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ SMEs /OTOP ทั่วประเทศ ตลอดมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ  1  มีนาคม  2559 -  กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาลเร่งเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือ  SMEs  และ  OTOP  ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 800 ราย ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตาก ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริม  SMEs  และ  OTOP  ของประเทศ เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะภาครัฐที่ดูแลและส่งเสริมผู้ประกอบการ  SMEs  และ  OTOP  โดยตรง จึงมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการในหลายด้าน ทั้งให้ความรู้การทำธุรกิจรอบด้าน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือมาตรการด้านการเงิน และการให้ความรู้ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำก...

ด่วน!!! สถาบันอาหาร รับสมัครเอสเอ็มอีดูงานที่ญี่ปุ่น-จับคู่ธุรกิจในงานFoodex Japan 2016

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวน เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบ ธุรกิจแ ละอุตสาหกรรมอาหารทุกประเภท เข้าร่วม กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น   ระหว่างวันที่  6-12  มีนาคม  2559  เพื่อ สำรวจตลาด   และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าอาหารของชาวญี่ปุ่น   ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภค   แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น   พร้อมศึกษานวัตกรรมอาหาร  แนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  ในงาน  Foodex Japan 2016   ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  มีผู้แสดงสินค้า  3,000  ราย  จาก  79   ประเทศ   และมีผู้เข้าชมงานราว  77,000  คน   จัดขึ้นเพื่อเจรจาธุรกิจเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายปลีก   โดยผู้ประกอบการ ของไทย สามารถนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง พร้อมพบปะและเจรจาธุรกิจ  Business Matching  กับผู้นำเข้าสินค้าอาหารจากทั่วโลก พร้อมสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่สนใ จ นำเข้าผลิตภัณฑ์อาห า รของไทย ...

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E 2017 ชูศักยภาพไทยในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลก

นางมาลี โชคลํ้าเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงการจัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น (Bangkok RHVAC) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Bangkok E&E) ปี 2560 ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมเครื่องทำความเย็นไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้หารือและมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้การจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้เป็นเวทีแสดงศักยภาพของทั้งสองอุตสาหกรรมของไทย ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากล และในด้านนวัตกรรมสินค้าที่สอดรับกับบริบทโลกในปัจจุบัน      “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกในกลุ่มสินค้าดังกล่าว โดยปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการผลิตและส่งออก ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ในการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะจากโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งมีขนาดของข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลกขยายใหญ่ขึ้นมากทุกปี นอกจาก...