ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กสอ.ดันอุตฯเครื่องสำอางติดท็อป 10 โลก ตั้งเป้าไทยเป็นปารีสแห่งเอเชีย


• กสอ.จับมือคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทยจัดประกวด THAILANDCOSMETIC CONTEST 2016 พบนวัตกรรมสารสกัดน้ำมันจากตัวอ่อนของแมลง ขึ้นแท่นสิทธิบัตร WTO

กรุงเทพฯ 10 พฤศจิกายน 2559 – กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม รุกบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางผ่านการดำเนินงานในรูปแบบการรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมหรือคลัสเตอร์ ชี้เป็นกลุ่มธุรกิจหนึ่ง              ที่สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานแบบเครือข่ายและเป็น 1 ใน 4 อุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นและอุปสงค์ จากทั้งในและต่างประเทศในอัตราที่สูง โดยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.7 แสนล้านบาท พร้อมเผยเตรียมเร่งผลักดัน ให้กลุ่มธุรกิจนี้ สามารถก้าวเข้าไปติด 1 ใน 10 ของเมืองแห่งเครื่องสำอางโลก และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในระดับภูมิภาคหรือเป็นปารีสแห่งเอเชีย นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยนำร่องจัดกิจกรรม THAILAND COSMETICCONTEST 2016 ซึ่งจะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางผ่านตราสินค้าไทย ซึ่งจากการดำเนินงานดังกล่าว ทำให้พบนวัตกรรมสารสกัดน้ำมันจากตัวอ่อนของแมลงที่มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังได้ผลักดันสู่การจดสิทธิบัตรสากล ซึ่งในอนาคตจะเป็นเรื่องดีในด้านการคุ้มครองการประดิษฐ์คิดค้นหรือการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อก้าวสู่ตลาดโลกได้ต่อไป

ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางถือเป็นหนึ่ง             ในตัวอย่างการรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจแบบเครือข่าย โดยจะเห็นได้จากทิศทางการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ              และกำลังซื้อ นอกจากนี้ยังถือเป็น 1 ใน 4 อุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นและอุปสงค์จากทั้งในและต่างประเทศ                 ในอัตราที่สูง (ที่มาดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ซึ่งความก้าวหน้าในหลากหลายด้านนี้เกิดจากการสร้างความร่วมมือทั้งจากภาคธุรกิจ ภาคสถาบันการวิจัย และภาครัฐ พร้อมทั้งกลยุทธ์การปรับตัว                  ในหลาย ๆ รูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ ด้านนวัตกรรมการผลิต การร่วมมือวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การพัฒนา               บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น โดยสิ่งเหล่านี้ถือเป็นรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ดีที่กลุ่มคลัสเตอร์ธุรกิจอื่ๆ จะสามารถนำไปเป็นต้นแบบและสร้างแนวทางการดำเนินอุตสาหกรรมของตนให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างกว้างขวางต่อไปในอนาคต

ดร.พสุ กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัย รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เพื่อก่อให้เกิดการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ                           ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในระดับห่วงโซ่อุปทานที่สามารถบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูล จากกิจกรรมทางอุตสาหกรรมในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยจะส่งผลให้การประกอบธุรกิจเป็นไป 

อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์กระแสความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ ในปี 2559 ยังได้ร่วมมือกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยนำร่องจัดกิจกรรม THAILAND COSMETIC CONTEST 2016 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการจัดกิจกรรมประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยเป็นการเฟ้นหางานต้นแบบผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าไทยเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้ประกอบการทั่วไปได้ โดยเป้าหมายสูงสุดเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะสามารถสร้างการแข่งขันกับประเทศชั้นนำของโลกที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งเป็น 10 สาขา ได้แก่ 1.รางวัล Cosmetic 4.02.รางวัล Thai Herb Cosmetic 3.รางวัล Thai Rice Cosmetic 4.รางวัล CosmeticScience 5.รางวัล Global Green Cosmetic 6.รางวัล Biotech Cosmetic 7.รางวัล TheBest Thai Graphic Design 8.รางวัล Social SME 9.รางวัล Popular Vote และ 10.รางวัล Thai Spa ทั้งนี้ ผู้ที่มีความโดดเด่นและได้รับรางวัลในแต่ละสาขาจะได้รับการจดสิทธิบัตร พร้อมทั้งได้รับเงินทุนสนับสนุนเพื่อพัฒนาสู่การเป็นผู้ประกอบการเพื่อการต่อยอดการดำเนินธุรกิจเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต 

ดร.พสุ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการพัฒนาและเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่เห็นในปัจจุบัน กสอ. มีความมุ่งมั่นที่จะเร่งผลักดันให้กลุ่มธุรกิจนี้สามารถก้าวเข้าไปติด 1 ใน 10 ของเมืองแห่งเครื่องสำอางโลกภายในระยะเวลา 3 - 5 ปี โดยขณะนี้ไทยติดอันดับที่ 17 ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.7 แสนล้านบาท (ที่มาข้อมูล : สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย) ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้เป้าหมายที่วางไว้สามารถเป็นไปได้ โดยเชื่อว่ากำลังซื้อจากตลาดในต่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามา ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นจะเป็นกำลังซื้อหลักที่สำคัญ นอกจากนี้ จะเร่งผลักดันผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิต ในภูมิภาคหรือเป็นปารีสแห่งเอเชีย ซึ่งมั่นใจว่าการครองอันดับ 1 ในเอเชียเป็นเรื่องที่ไม่ยาก

นายสมประสงค์ พยัคฆพันธ์ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายสู่การเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยแล้วนั้น ปัจจุบันยังมีการพัฒนาและรวมกลุ่ม                    กับประเทศต่าง ๆ สู่การเป็นหนึ่งในสมาชิกคลัสเตอร์เครื่องสำอางโลก หรือ Cosmetic Valleyโดยถือเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแรกของไทยที่ได้เข้าสู่ในระดับนานาชาติ ซึ่งนับว่าสัญญาณที่ดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย              เกิดการเชื่อมโยงและพัฒนาไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมดังกล่าวทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี เกาหลี เป็นต้น โดยขณะนี้ได้มีการลงนามการให้การสนับสนุนและส่งเสริมการร่วมมือพัฒนา   ในด้านต่าง ๆ ทั้งการแสดงสินค้าในเวทีระดับนานาชาติ การเข้าถึงแหล่งข้อมูล การให้ความช่วยเหลือในด้านสิทธิประโยชน์ด้านวัตถุดิบ การวิจัย การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การบูรณาการองค์ความรู้ด้านการผลิต เป็นต้น โดยเป็นการเชื่อมโยงในแบบ 360 องศา ซึ่งในอนาคตจะส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยเกิดความทัดเทียมและเทียบเท่ากับแบรนด์สินค้าชั้นนำในระดับสากลได้ต่อไป

ด้านนายชาญณรงค์ แสงเดือน กรรมการผู้จัดการบริษัท โอริกก้า จำกัด และผู้ได้รับรางวัล Cosmetic 4.0 จากกิจกรรม THAILAND COSMETIC CONTEST2016 กล่าวว่า นวัตกรรมในการผลิตเครื่องสำอางเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องมือนำพาให้ธุรกิจสามารถไปได้ไกลในระดับนานาชาติ โดยปัจจุบันตนค้นพบสารสกัดน้ำมัน            จากตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสารสำคัญคือกรดลอริก โดยทั่วไปจะพบได้ในน้ำนมแม่ และน้ำมันมะพร้าว                 คุณสมบัติจากสารสกัดดังกล่าวเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และไม่เคยพบมาก่อนในวงการเครื่องสำอางและวิทยาศาสตร์                     ซึ่งสามารถต้านมะเร็ง ลดการอักเสบ ลดไขมัน มีโอเมก้า 3 6 และ 9 สามารถก่อให้เกิดข้อดีในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านการสร้างมูลค่าและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ โดยขณะนี้ได้ดำเนินการจดสิทธิบัตรสากลกับ WTO ซึ่งจะเป็นเรื่องดี                  ในด้านการคุ้มครองการประดิษฐ์คิดค้นหรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยในอนาคตจะทำให้สินค้ามีความแตกต่างและแปลใหม่จากสินค้าทั่วไป ทั้งนี้ นอกจากการค้นพบนวัตกรรมดังกล่าวแล้ว ตนยังมีความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อการพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยตอนนี้ได้รับสัญญาณที่ดีจากประเทศเมียนมาร์ที่ได้ทำข้อตกลงเพื่อการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในประเทศดังกล่าว ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกำลังซื้อของประชากรในประเทศที่กำลังเติบโตสูง

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูล เพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร.02 202 4575 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระทรวงอุตฯ เร่งปูพรมพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ SMEs /OTOP ทั่วประเทศ ตลอดมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ  1  มีนาคม  2559 -  กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาลเร่งเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือ  SMEs  และ  OTOP  ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 800 ราย ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตาก ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริม  SMEs  และ  OTOP  ของประเทศ เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะภาครัฐที่ดูแลและส่งเสริมผู้ประกอบการ  SMEs  และ  OTOP  โดยตรง จึงมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการในหลายด้าน ทั้งให้ความรู้การทำธุรกิจรอบด้าน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือมาตรการด้านการเงิน และการให้ความรู้ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำก...

ด่วน!!! สถาบันอาหาร รับสมัครเอสเอ็มอีดูงานที่ญี่ปุ่น-จับคู่ธุรกิจในงานFoodex Japan 2016

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวน เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบ ธุรกิจแ ละอุตสาหกรรมอาหารทุกประเภท เข้าร่วม กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น   ระหว่างวันที่  6-12  มีนาคม  2559  เพื่อ สำรวจตลาด   และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าอาหารของชาวญี่ปุ่น   ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภค   แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น   พร้อมศึกษานวัตกรรมอาหาร  แนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  ในงาน  Foodex Japan 2016   ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  มีผู้แสดงสินค้า  3,000  ราย  จาก  79   ประเทศ   และมีผู้เข้าชมงานราว  77,000  คน   จัดขึ้นเพื่อเจรจาธุรกิจเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายปลีก   โดยผู้ประกอบการ ของไทย สามารถนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง พร้อมพบปะและเจรจาธุรกิจ  Business Matching  กับผู้นำเข้าสินค้าอาหารจากทั่วโลก พร้อมสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่สนใ จ นำเข้าผลิตภัณฑ์อาห า รของไทย ...

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E 2017 ชูศักยภาพไทยในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลก

นางมาลี โชคลํ้าเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงการจัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น (Bangkok RHVAC) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Bangkok E&E) ปี 2560 ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมเครื่องทำความเย็นไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้หารือและมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้การจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้เป็นเวทีแสดงศักยภาพของทั้งสองอุตสาหกรรมของไทย ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากล และในด้านนวัตกรรมสินค้าที่สอดรับกับบริบทโลกในปัจจุบัน      “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกในกลุ่มสินค้าดังกล่าว โดยปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการผลิตและส่งออก ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ในการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะจากโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งมีขนาดของข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลกขยายใหญ่ขึ้นมากทุกปี นอกจาก...