ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ดร.สมคิดฯ ส่งเทียบเชิญนักลงทุน ฮ่องกง จีน นำคณะพบนายกฯ โชว์ศักยภาพภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ “อีอีซี” พร้อมติดสปีดหน่วยเศรษฐกิจไทย ดัน S – Curve เชื่อมโอกาสเส้นทางสายไหม

         ·     ดร.สมคิด ชี้ปี 59 ฮ่องกงลงทุนไทยกว่า หมื่นล้าน ไตรมาสแรกปี 60 ขึ้นแท่นอันดับสองรองจากญี่ปุ่น

      ·     กระทรวงอุตฯ จับมือพาณิชย์ เดินเกมรุก ตั้งเป้าเป็นหน่วยกลางประสานงาน ฮ่องกง-ไทย เร่งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและดึงดูดการลงทุน พร้อมเชื่อมโยงธุรกิจ Business Matching

 

กรุงเทพฯ 8 พฤษภาคม 2560 - ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เร่งหารือการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ระหว่างไทยและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รุกจัดสัมมนาการลงทุนไทย – ฮ่องกง - เซี่ยงไฮ้ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พร้อมด้วยนักธุรกิจทั้งจากฝั่งไทยและฮ่องกงเข้าร่วมเสนอแนะและรับฟังนโยบายกว่า 300 ราย เผยเตรียมใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางของไทยในอาเซียน และความสัมพันธ์ไทย-ฮ่องกง เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนกับมณฑลตอนใต้ของจีน พร้อมชูยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของไทยเป็นจุดขาย เพื่อเชิญชวนภาคเอกชนให้มาลงทุนภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor - EEC) ให้มากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามจากข้อมูลปี 2559   ฮ่องกงมีการลงทุนราว หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นอันดับที่ จากประเทศที่มีการลงทุนในไทยทั้งหมด  ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดกิจกรรมเปิดงานสัมมนา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ  

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้นำคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเพื่อหารือผู้บริหารภาครัฐ และภาคธุรกิจ รวมทั้งสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council – HKTDC) เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของฮ่องกงในฐานะที่เป็นฮับหรือศูนย์กลางในการผนึกเศรษฐกิจระหว่างจีน - อาเซียน และยังถือเป็นประตูการค้า การลงทุนที่สำคัญ ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังมณฑลและบริเวณเขตเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศจีนโดยรอบ โอกาสดังกล่าวถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีการขยายตัวและเพิ่มมูลค่าให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้น หลังจากนี้หน่วยงานต่างๆ ของไทย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งผลักดันนโยบายการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมเกิดการขยายความร่วมมือกับเขตบริหารพิเศษดังกล่าวในบริบทและรูปแบบที่กว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของรัฐบาลได้เร่งสร้างความต่อเนื่องในการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย – ฮ่องกง ให้เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยให้เกิดการร่วมมือในระดับต่างๆ ที่สูงขึ้นได้ต่อไป

ดร.สมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่า บทบาทของฮ่องกงนั้นถือว่าเป็นคู่ค้าและคู่ลงทุนที่สำคัญของไทยมาโดยตลอด โดยในปีที่ผ่านมา ฮ่องกงมีการลงทุนราว หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นอันดับที่ จากประเทศที่มีการลงทุนในไทยทั้งหมด  มีการนำเข้าสินค้าจากไทยคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 4 แสนล้านบาท (ที่มา : Trade statistics for international business development) และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 อันดับการลงทุนในไทยยังได้ได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ รองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นทิศทางที่ค่อนข้างสดใสในเรื่องความเชื่อมั่นด้านภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ฮ่องกงยังถือเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้การริเริ่มนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) หรือโครงการเส้นทางสายไหมเก่า ของประเทศจีนขณะนี้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งในอนาคตต่อไปเส้นทางดังกล่าวกำลังจะขยายการเชื่อมโยงสู่ทางทะเล สามารถส่งผลต่อการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนระหว่างจีนกับประเทศในแถบภูมิภาคมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคอาเซียน โอเชียเนีย แอฟริกาเหนือ แปซิฟิก รวมถึงมหาสมุทรอินเดีย ทั้งยังมีแนวโน้มที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงถึงยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และ เซี่ยงไฮ้ที่จะให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ ในโอกาสดังกล่าวประเทศไทยจึงต้องเร่งใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของกลุ่มประเทศCLMV ในการพัฒนาศักยภาพความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งหากสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรมก็จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงอาเซียนกับมณฑลตอนใต้ของจีน โดยมีไทยและฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง ซึ่งจะเป็นข้อดีในการได้รับผลประโยน์ในรูปแบบ Win – Win ของทั้งสองประเทศในอนาคต

 จากการเดินทางไปชักจูงการลงทุนที่ฮ่องกงดังกล่าว ทำให้สภาพัฒนาการค้าฮ่องกงมีมติเห็นชอบในการนำคณะผู้บริหารภาคเอกชนและนักลงทุนจากฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหารือด้านการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางระหว่างกัน โดยได้มีการจัดสัมมนาการลงทุนไทย – ฮ่องกง - เซี่ยงไฮ้ ระหว่างวันที่ 8 – 9 พ.ค. นี้ ณ ประเทศไทย โดยมีทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ และมณฑลเซี่ยงไฮ้ อาทิ สภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC)กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พร้อมด้วยนักธุรกิจทั้งจากฝั่งไทยและฮ่องกงเข้าร่วมรับฟังข้อเสนอแนะและนโยบายกว่า 300 ราย โดยกรอบเนื้อหาความร่วมมือหลักจะมุ่งไปที่การพัฒนาการใช้พื้นที่ เส้นทางคมนาคม และอุตสาหกรรมสาขาเป้าหมาย อาทิ การนำเสนอนโยบาย Thailand 4.0 และเชิญชวนภาคเอกชนให้มาลงทุนในไทยโดยเฉพาะใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซูเปอร์คลัสเตอร์ ระบบการขนส่งสาธารณะ ภายใต้โครงการเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  รวมถึงการผลักดันให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (ETO) ในไทย เป็นต้น


รวมถึงเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย การหารือเรื่องการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการเชื่อมโยงในภูมิภาคโดยเฉพาะการเข้าถึงสินค้าและวัตถุดิบจากกลุ่ม CLMV การจัดตั้งโครงการเพื่อพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่นักลงทุนทั้งสองประเทศจะได้รับ โดยในโอกาสสำคัญในครั้งนี้ยังจะได้มีการนำคณะทำงานที่เกี่ยวข้องของทุกฝ่ายเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความมั่นใจและแสดงถึงความพร้อมของโครงการดังกล่าวสำหรับประกอบการตัดสินใจร่วมลงทุน ต่อเนื่องถึงการวางนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ ต่อไปในอนาคต ดร.สมคิด กล่าวปิดท้าย

 ด้าน ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ผลักดันให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สสว. กับ HKTDC เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดย HKTDC ถือเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมเชื่อมโยงการค้าการลงทุนของฮ่องกง มีการจัดงานนิทรรศการในระดับสากลกว่า 30งานต่อปี มีการจัดการเชื่อมโยงธุรกิจ BusinessMatching การสร้างช่องทางการขายผ่าน OnlineMarketplaceรวมถึงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ไทยให้เข้าสู่ตลาดสากลด้วย ดังนั้น ในโอกาสที่ HKTDC เดินทางมาเยื่อนประเทศไทยในครั้งนี้ จึงเป็นการขยายผลต่อเนื่องในด้านการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้มุ่งเน้นผลักดันให้ HKTDC และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เล็งเห็นการใช้ประโยชน์จากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการร่วมทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจระเบียงตะวันออก (EEC) ของไทย ทั้งในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยานยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง ธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งในอนาคตพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่พร้อมไปด้วยสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  การอำนวยความสะดวกในรูปแบบ One StopServiceเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจให้มีความรวดเร็วและทันสมัยที่สุดในอาเซียน โดยพื้นที่ EEC ยังจะถูกพัฒนาให้เป็นมหานครแห่งอนาคตที่จะเป็นทั้งศูนย์กลางแห่งการจัดตั้งวิสาหกิจ การค้า การลงทุน การขนส่งของภูมิภาค และแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนยังจะเป็นประตูสู่เอเชียและเชื่อมโยงกับนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ผู้ประกอบการและผู้ดำเนินธุรกิจของไทย จีน ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ หรืออื่นๆ ได้มีการเชื่อมโยงระหว่างกัน พร้อมก้าวสู่เวทีการค้าระดับสากลได้มากขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กระทรวงอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0-2202 4435 หรือเข้าไปที่ www.industry.go.th หรือfacebook.com/industryprmoi

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระทรวงอุตฯ เร่งปูพรมพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ SMEs /OTOP ทั่วประเทศ ตลอดมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ  1  มีนาคม  2559 -  กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาลเร่งเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือ  SMEs  และ  OTOP  ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 800 ราย ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตาก ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริม  SMEs  และ  OTOP  ของประเทศ เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะภาครัฐที่ดูแลและส่งเสริมผู้ประกอบการ  SMEs  และ  OTOP  โดยตรง จึงมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการในหลายด้าน ทั้งให้ความรู้การทำธุรกิจรอบด้าน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือมาตรการด้านการเงิน และการให้ความรู้ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำก...

ด่วน!!! สถาบันอาหาร รับสมัครเอสเอ็มอีดูงานที่ญี่ปุ่น-จับคู่ธุรกิจในงานFoodex Japan 2016

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวน เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบ ธุรกิจแ ละอุตสาหกรรมอาหารทุกประเภท เข้าร่วม กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น   ระหว่างวันที่  6-12  มีนาคม  2559  เพื่อ สำรวจตลาด   และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าอาหารของชาวญี่ปุ่น   ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภค   แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น   พร้อมศึกษานวัตกรรมอาหาร  แนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  ในงาน  Foodex Japan 2016   ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  มีผู้แสดงสินค้า  3,000  ราย  จาก  79   ประเทศ   และมีผู้เข้าชมงานราว  77,000  คน   จัดขึ้นเพื่อเจรจาธุรกิจเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายปลีก   โดยผู้ประกอบการ ของไทย สามารถนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง พร้อมพบปะและเจรจาธุรกิจ  Business Matching  กับผู้นำเข้าสินค้าอาหารจากทั่วโลก พร้อมสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่สนใ จ นำเข้าผลิตภัณฑ์อาห า รของไทย ...

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E 2017 ชูศักยภาพไทยในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลก

นางมาลี โชคลํ้าเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงการจัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น (Bangkok RHVAC) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Bangkok E&E) ปี 2560 ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมเครื่องทำความเย็นไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้หารือและมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้การจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้เป็นเวทีแสดงศักยภาพของทั้งสองอุตสาหกรรมของไทย ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากล และในด้านนวัตกรรมสินค้าที่สอดรับกับบริบทโลกในปัจจุบัน      “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกในกลุ่มสินค้าดังกล่าว โดยปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการผลิตและส่งออก ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ในการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะจากโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งมีขนาดของข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลกขยายใหญ่ขึ้นมากทุกปี นอกจาก...