ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สภาอุตสาหกรรม-สภาหอการค้าฯ-สถาบันอาหาร เผยปี 59 ไทยเขยิบขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับ 13 ของโลก มั่นใจส่งออกปี 60 ทะลุ 1 ล้านล้านบาท


รร.สุโกศล//การแถลงข่าวร่วม องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร โดย สภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าฯ และสถาบันอาหาร เผยข้อมูลอุตสาหกรรมอาหารปี 2559ไทยเขยิเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 13 ของโลก ปรับตัวดีขึ้นจากอันดับ 15 ในปี 2558 คาดสิ้นปี 2559 จะมีมูลค่าส่งออก 972,000 ล้านบาทขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 โดยกลุ่มประเทศCLMV ขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับ ของไทยด้วยสัดส่วนร้อยละ 15.2 แซงตลาดญี่ปุ่น ที่มีสัดส่วนส่งออกร้อยละ 13.9 ส่วนแนวโน้มส่งออกปี 2560 ประเมินว่ามูลค่าจะทะลุถึง1,050,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0ชี้กลุ่มสินค้าที่เติบโตสูง(10-20%) ได้แก่ น้ำผลไม้ และกุ้ง กลุ่มสินค้าที่เติบโตปานกลาง (5-10%) ได้แก่ เครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทาน ไก่ และปลาทูน่ากระป๋อง กลุ่มสินค้าที่ขยายตัวต่ำ(ต่ำกว่า5%) ได้แก่ สับปะรดกระป๋อง มันสำปะหลัง น้ำตาลทราย และข้าว มั่นใจมูลค่าส่งออกไก่จะขึ้นถึง 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก เหตุเกาหลีใต้ปลดล็อคนำเข้าแล้ว 12 โรงงาน คาดจะไฟเขียวอีก 40 โรงงานเร็วๆนี้

การแถลงข่าวร่วม องค์กร โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง สถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหารของไทยในปี 2559 และแนวโน้มในปี 2560 มีตัวแทนหลักของทั้ง องค์กร ประกอบด้วย นายสัตวแพทย์บุญเพ็ง สันติวัฒนธรรม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  และนายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมให้รายละเอียดสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ในการประสานความร่วมมือของ 3 องค์กร  ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดำเนินงานของ ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร หรือ Food Intelligence Center โดยพบว่า ภาพรวมการส่งออกอาหารตลอดปี 2559 ประเมินว่าจะมีมูลค่า972,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 เนื่องจากวัตถุดิบการเกษตรของไทยมีปริมาณเพิ่มขึ้นชัดเจนโดยเฉพาะกุ้งที่เริ่มฟื้นตัวจากภาวะโรคตายด่วน(EMS) ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้กลุ่มสินค้า   ปศุสัตว์รวมทั้งเพาะเลี้ยงสัตว์้ำมีต้นทุนการผลิตลดลง เศรษฐกิจอาเซียนโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ขยายตัว ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ในช่วง 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เอื้ออำนวยต่อสินค้าส่งออก และภัยแล้งในกลุ่มประเทศอาเซียนทำให้มีความต้องการสินค้าอาหารมากขึ้น มีการลงทุนขยายกำลังการผลิตของผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายสาขา อาทิ ไก่ น้ำผลไม้ เครื่องปรุงรส

สินค้าอาหารส่งออกของไทยส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า โดยสินค้าที่มีมูลค่า

การส่งออกขยายตัวสูง 4 รายการ ได้แก่ น้ำผลไม้ (+24.5%) กุ้ง (+22.0%) สับปะรดกระป๋อง(+12.2%)  และไก่(+8.0%) ส่วนสินค้าอื่นๆ อาทิ ข้าว มีปริมาณการส่งออก(+2.1%)เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาส

 

สุดท้ายของปี มูลค่าขยายตัว(+2.6%) น้ำตาลทรายปริมาณส่งออกลดลง(-10.4%) แต่มูลค่าขยายตัว (+1.2%) ปลาทูน่ากระป๋อง มีปริมาณส่งออกลดลง(-2.5%) แต่มูลค่าขยายตัว(+2.7%) มันสำปะหลัง (เฉพาะแป้งมันสำปะหลังดิบ) ปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น(+10.0%) แต่ราคาลดลงทำให้มูลค่าส่งออกหดตัวลง (-1.0%)เครื่องปรุงรสปริมาณส่งออกและมูลค่าเพิ่มขึ้นตามลำดับ (+5.8%) และ (+6.4%)

โดยสัดส่วนตลาดส่งออกอาหารของไทยในปี 2559 แบ่งเป็น อาเซียน(28.4%) (อาเซียนเดิม 13.2% และ CLMV 15.2%) ญี่ปุ่น (13.9%)สหรัฐฯ (11.9%) สหภาพยุโรป (10.0%)แอฟริกา (9.1%) จีน (8.0%) โอเชียเนีย (3.6%)ตะวันออกกลาง (3.4%) และเอเชียใต้ (1.1%) หรับตลาดที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกมากขึ้น ได้แก่ อาเซียน (ทั้ง CLMV และอาเซียนเดิมสหรัฐฯ โอเชียเนีย และเอเชียใต้ โดยขยายตัวสูงมากในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน(+19.2%) ส่วนตลาดส่งออกอื่น  ขยายตัวดีในกลุ่มตลาดเดิม ได้แก่ ญี่ปุ่น (+6.2%) และสหรัฐฯ(+9.1%) เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลัก อาทิสับปะรดกระป๋อง กุ้งแช่แข็ง กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังจากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบคลายตัวลง รวมทั้งการส่งออกไก่ที่ขยายตัวดีในกรณีของตลาดญี่ปุ่น ส่วนตลาดใหม่ที่เป็นตลาดที่มีขนาดรองลงไปส่วนใหญ่หดตัวลง ได้แก่แอฟริกา (-6.1%) จีน(-0.4%) และตะวันออกกลาง (-7.6%) โดยมีสาเหตุจากราคาน้มันที่ตกต่ ขณะที่ตลาดจีนหดตัวลงครั้งแรกในรอบ 8 ปี เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างข้าว น้ตาลทราย และแป้งสปะหลังลดลง 

ในปี 2559 ประเทศไทยเขยิบขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 13 ของโลก ปรับตัวดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับ 15 ในปี 2558 โดยพิจารณาจากมูลค่าส่งออกอาหารเฉลี่ยต่อเดือนพบว่าไทยส่งออกสินค้าอาหารเฉลี่ยเดือนละ 2,216 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป็นอันดับที่ 3 ในเอเชียรองจากจีนและอินเดีย ส่วนประเทศผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ 1 ถึง 4 อันดับแรกของโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ได้แก่ สหรัฐฯเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และบราซิล ตามลดับส่วนอันดับที่ 5 คือประเทศจีนที่ขึ้นมาแทนฝรั่งเศสในปีนี้

นายณัฐพล กล่าวต่อว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.0 โดยมีมูลค่าราว1,050,000 ล้านบาท ด้รับปัจจัยหนุนจากการบริโภค การส่งออก และการลงทุนที่เติบโตสินค้าส่งออกอันดับ 1 ได้แก่ ข้าว รองลงมาได้แก่ ไก่ ้ำตาลทราย กุ้ง ปลาทูน่ากระป๋องแป้งมันสาปะหลัง(แป้งดิบ้ำผลไม้ สับปะรดกระป๋อง เครื่องปรุงรส และอาหารพร้อมรับประทาน ตามลดับ

ทั้งนี้แนวโน้มการส่งออก ข้าว คาดว่าจะมีปริมาณ 10 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปี 2559 แต่มูลค่า     มีแนวโน้มลดลงตามทิศทางราคาข้าวในตลาดโลกที่ได้รับแรงกดดันจากปริมาณสต็อกข้าวโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับไก่ คาดว่ามูลค่าส่งออกจะทะลุ แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก เนื่องจากการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การส่งออกไปยังอียูยังทรงตัว และได้ปัจจัยบวกจากเกาหลีใต้ปลดล็อคอนุญาตนำเข้าไก่จากไทย โดยในช่วงแรกอนุญาตให้โรงงานไก่ 12 แห่งของไทยสามารถส่งออกไปได้ และคาดว่าโรงงานไก่อีกประมาณ 40 แห่ง จะได้รับการรับรองในอนาคตอันใกล้ สำหรับการส่งออกน้ำตาลทรายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเชิงมูลค่าตามทิศทางราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ภายใต้ภาวการณ์ที่ระดับสต็อกน้ำตาลโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่มันสำปะหลังอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการระบายข้าวโพดในสต๊อกของจีน รวมถึงกฎระเบียบใหม่ในการนำเข้าของจีนที่เข้มงวดมากขึ้น ตลอดจน

 

 

คู่แข่งที่น่าจับตาอย่างเวียดนาม  ส่วนน้ำผลไม้ขยายตัวดีในแทบทุกตลาดจากการที่ผู้ประกอบการไทยดำเนินกลยุทธ์ขยายตลาดส่งออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งการหาผู้กระจายสินค้า และแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ 

สำหรับสับปะรด ความต้องการตลาดโลกยังมีอยู่มาก          แต่วัตถุดิบไม่เพียงพอทำให้ปริมาณการผลิตและส่งออกลดลง แต่มูลค่าขยายตัวเพิ่มขึ้นตามราคาที่ยังทรงตัวระดับสูง

กลุ่มสินค้าที่คาดว่ามูลค่าส่งออกจะขยายตัวสูง(10-20%) ได้แก่ น้ำผลไม้(+17.3%) และกุ้ง (+14.1%) กลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวปานกลาง(5-10%) ได้แก่ เครื่องปรุงรส(+7.1%)อาหารพร้อมรับประทาน(+6.5%) ไก่(+5.2%)และปลาทูน่ากระป๋อง(5.0%) และกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวต่ำ   (ต่ำกว่า5%) ได้แก่ สับปะรดกระป๋อง(+3.5%) มันสำปะหลัง(+2.9%)น้ำตาลทราย(+2.6%) และข้าว(+1.3%) โดยสินค้าทั้ง 10 รายการมีสัดส่วนรวมกันที่อยละ 62 ของมูลค่าส่งออกอาหารทั้งหมด

นายณัฐพล กล่าวถึงปัจจัยสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2560 ว่ามาจากเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเพราะในระยะสั้นนโยบายเศรษฐกิจของผู้นสหรัฐฯคนใหม่ จะส่งผลด้านบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯส่วนผลกระทบจากนโยบายการค้าและการต่างประเทศจะต้องใช้เวลาดเนินงาน จึงจะส่งผลกระทบในระยะกลางถึงระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรวัตถุดิบในปีการผลิต 2559/60 ที่ฟื้นตัวจากภาวะภัยแล้ง วัตถุดิบในอุตสาหกรรมกุ้งเริ่มคลายตัวจากภาวะโรคระบาด เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศCLMV ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2559CLMV เป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับที่ ของไทยด้วยสัดส่วน 15.2% แซงหน้าญี่ปุ่นที่มีสัดส่วน 13.9% ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกอับดับ 1ในปี 2558 นอกจากนี้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ MENA ฟื้นตัวตามราคาน้ำมัน ประกอบกับมาตรการการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมาย(IUU fishing) ของไทยก็ก้าวหน้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าขึ้นตามลดับ จะมีส่วนช่วยให้ภาพลักษณ์สินค้าไทยปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะสินค้าประมง

อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี2560 ก็มีปัจจัยเสี่ยงสคัญหลายประการที่ต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนด้านนโยบายของผู้นคนใหม่สหรัฐฯ จะทให้ตัวแปรเศรษฐกิจผันผวนและความเสี่ยงจากการเกิดสงครามการค้าเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวล่าช้าจากปัญหาในภาคธนาคาร และความกังวลเรื่องเสถียรภาพอียูหลังเลือกตั้งผู้นคนใหม่ในหลายประเทศ ได้แก่เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และอิตาลี ส่วนเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวโดยเฉพาะการค้าระหว่างประเทศที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้มันหลังจากOPEC และชาตินอกกลุ่มเตรียมลดกลังการผลิต ความผันผวนของค่าเงินและแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับยูโรและเยนเป็นต้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กระทรวงอุตฯ เร่งปูพรมพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ SMEs /OTOP ทั่วประเทศ ตลอดมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ  1  มีนาคม  2559 -  กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาลเร่งเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือ  SMEs  และ  OTOP  ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 800 ราย ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตาก ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริม  SMEs  และ  OTOP  ของประเทศ เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะภาครัฐที่ดูแลและส่งเสริมผู้ประกอบการ  SMEs  และ  OTOP  โดยตรง จึงมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการในหลายด้าน ทั้งให้ความรู้การทำธุรกิจรอบด้าน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือมาตรการด้านการเงิน และการให้ความรู้ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำก...

ด่วน!!! สถาบันอาหาร รับสมัครเอสเอ็มอีดูงานที่ญี่ปุ่น-จับคู่ธุรกิจในงานFoodex Japan 2016

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวน เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบ ธุรกิจแ ละอุตสาหกรรมอาหารทุกประเภท เข้าร่วม กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น   ระหว่างวันที่  6-12  มีนาคม  2559  เพื่อ สำรวจตลาด   และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าอาหารของชาวญี่ปุ่น   ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภค   แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น   พร้อมศึกษานวัตกรรมอาหาร  แนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  ในงาน  Foodex Japan 2016   ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  มีผู้แสดงสินค้า  3,000  ราย  จาก  79   ประเทศ   และมีผู้เข้าชมงานราว  77,000  คน   จัดขึ้นเพื่อเจรจาธุรกิจเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายปลีก   โดยผู้ประกอบการ ของไทย สามารถนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง พร้อมพบปะและเจรจาธุรกิจ  Business Matching  กับผู้นำเข้าสินค้าอาหารจากทั่วโลก พร้อมสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่สนใ จ นำเข้าผลิตภัณฑ์อาห า รของไทย ...

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E 2017 ชูศักยภาพไทยในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลก

นางมาลี โชคลํ้าเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงการจัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น (Bangkok RHVAC) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Bangkok E&E) ปี 2560 ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมเครื่องทำความเย็นไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ได้หารือและมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้การจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้เป็นเวทีแสดงศักยภาพของทั้งสองอุตสาหกรรมของไทย ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากล และในด้านนวัตกรรมสินค้าที่สอดรับกับบริบทโลกในปัจจุบัน      “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกในกลุ่มสินค้าดังกล่าว โดยปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการผลิตและส่งออก ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ในการจัดเก็บข้อมูล โดยเฉพาะจากโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งมีขนาดของข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลกขยายใหญ่ขึ้นมากทุกปี นอกจาก...