ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กสอ. แนะ 4 รูปแบบธุรกิจที่ SMEs ไทยยุคใหม่ต้องมี

                กรุงเทพฯ 22 ตุลาคม 2558 – กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ดัน 4 รูปแบบธุรกิจที่ SMEsยุคใหม่ต้องมีเพื่อปรับตัว ได้แก่ เศรษฐกิจแบ่งปัน (SharingEconomyการระดมทุนสาธารณะ (Crowd Funding)ยุคผู้สูงอายุ (Silver Generation)และสังคมแห่งเทคโนโลยี (Mobilization World) เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนไปสู่ยุคปัจจุบัน และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนเพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโดยใช้ทรัพยากรได้อย่างมีคุณค่าที่สุด ทั้งนี้ ผู้ประกอบการSMEsสามารถดำเนินการตามแนวทาง 4 รูปแบบดังกล่าวโดยการเข้าร่วมโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งกสอ. ตั้งเป้าส่งเสริมผู้ประกอบการกว่า 2,000 คนภายในปีนี้

            ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่ากสอ.ได้ดำเนินโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนในการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ผ่านการจัดอบรมให้ความรู้และบริการให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ให้มีมูลค่าสูงขึ้น ทัดเทียมนานาชาติและเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ภายใต้แนวคิดSMEs ไทยก้าวไกลสู่สากล ตั้งเป้าสร้างผู้ประกอบการ SMEs 2,000 คนภายในปีนี้

ดร.สมชาย กล่าวต่อว่า วิถีชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านของโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงอายุ ด้วยสัดส่วนผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 15 ของประชากรทั้งหมด ขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือการค้าแบบออนไลน์ก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่การขายเปิดกว้างอย่างไม่จำกัดขึ้นด้วย ผู้ประกอบการ SMEsยุคใหม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวเพื่อสร้างการเชื่อมโยงระหว่างปริมาณความต้องการสินค้าในตลาด(อุปสงค์และปริมาณสินค้าที่มอยู่ในตลาด(อุปทานเข้าด้วยกัน นำไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวทางการปรับตัวผู้ประกอบการต้องเข้าใจรูปแบบการทำธุรกิจของ SMEs ยุคใหม่ 4 รูปแบบ อันได้แก่ 

• เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) รูปแบบธุรกิจที่ SMEs ยุคใหม่ต้องทำซึ่งช่วยให้สามารถสร้างรายได้จากสิ่งของหรือทรัพย์สินที่มีมากเกินความจำเป็นหรือไม่ได้ใช้แล้ว (Excess Capacity) ทั้งในแง่ของการแบ่งปันและการใช้ทรัพยากรร่วมกันอาทิ การแบ่งปันวัตถุดิบที่เหลือใช้ หรือการแนะนำแหล่งวัตถุดิบต่อกัน ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบเท่านั้น แต่รวมถึงองค์ความรู้ ทักษะและแรงงานด้วยอาทิ การแชร์ทักษะเฉพาะทางในด้านการออกแบบ หรือการประดิษฐ์สิ่งของเครื่องประดับเป็นต้น
• การระดมทุนสาธารณะ (Crowd Funding)รูปแบบธุรกิจที่เหมาะสำหรับ SMEsยุคใหม่ที่มีแนวคิด หรือนวัตกรรมดีๆ แต่ประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงต้องเสนอแนวคิดเพื่อก่อให้เกิดการร่วมทุนจากผู้ที่สนใจและเกิดความชอบในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นการสร้างทางเลือกในตลาดหรือเกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ให้สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมยุคใหม่และความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจและสังคมได้
• ยุคผู้สูงอายุ (SilverGeneration) รูปแบบธุรกิจที่ SMEs ยุคใหม่ต้องปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านของสังคม ปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยมีประชากรกว่า10 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 14.9 (ที่มา:สำนักงานสถิติแห่งชาติ)ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน เพื่อสนับสนุนการใช้ชีวิตที่เอื้อต่อความบกพร่องทางร่างกาย หรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสุขภาพหรือชะลอวัย 
• สังคมแห่งเทคโนโลยี (Mobilization World) รูปแบบธุรกิจที่สามารถตอบสนองสังคมแห่งการใช้สมาร์ทโฟนในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ(E-Commerce)ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างมาก โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจอี-คอมเมิร์ซใช้ช่องทาผ่านโซเชียลมีเดีย อยู่ประมาณ 500,000 ราย และมีคนไทยซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้ถึง 14.87 ล้านคน และคาดการณ์ว่าในปีพ.ศ.2558 มูลค่าตลาดอี-คอมเมิร์ซในส่วนของการซื้อขายตรงไปยังผู้บริโภคจะมีสูงถึง 2.2 แสนล้านบาท (ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

สำหรับผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และโครงการอื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2202 4414-17หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th หรือ www.facebook.com/dip.pr

###


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สถาบันอาหาร - OTAGAI Forum Association ทำ MOU แลกเปลี่ยนข้อมูลหนุนเอสเอ็มอีไทย-ญี่ปุ่น

นายบรรสาน  บุนนาค เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว   (แถวยืนที่  4  จากซ้าย) ร่วมเป็นสักขีพยานลงนามความร่วมมือบันทึกข้อตกลง (MOU)   ระหว่าง  นา ยยงวุฒิ   เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร (แถวนั่งขวา)   และ Mr.Daisuke Matsushima, Joint CEO of Otagai Forum Association   (แถวนั่งซ้าย)  โดยมี ผู้แทนจาก  OTAGAI Forum Association  และ ผู้แทนจ ากสถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว ให้เกียรติร่วมงาน  ณ สถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว   ประเทศญี่ปุ่น  เมื่อเร็วๆ นี้    เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลและกิจกรรมที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยและญี่ปุ่นได้ใช้ประโยชน์ ภายใต้  OTAGAI  Project  ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ทั้งสองประเทศเกิดการพัฒนาธุรกิจ ระดับเอสเอ็มอี ใหม่ๆ   ในอนาคต

กระทรวงอุตฯ เร่งปูพรมพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ SMEs /OTOP ทั่วประเทศ ตลอดมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ  1  มีนาคม  2559 -  กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายรัฐบาลเร่งเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือ  SMEs  และ  OTOP  ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 800 ราย ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ตาก ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ประกอบการได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริม  SMEs  และ  OTOP  ของประเทศ เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะภาครัฐที่ดูแลและส่งเสริมผู้ประกอบการ  SMEs  และ  OTOP  โดยตรง จึงมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการในหลายด้าน ทั้งให้ความรู้การทำธุรกิจรอบด้าน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือมาตรการด้านการเงิน และการให้ความรู้ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำก...

ด่วน!!! สถาบันอาหาร รับสมัครเอสเอ็มอีดูงานที่ญี่ปุ่น-จับคู่ธุรกิจในงานFoodex Japan 2016

สถาบันอาหาร   กระทรวงอุตสาหกรรม  เชิญชวน เอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบ ธุรกิจแ ละอุตสาหกรรมอาหารทุกประเภท เข้าร่วม กิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น   ระหว่างวันที่  6-12  มีนาคม  2559  เพื่อ สำรวจตลาด   และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าอาหารของชาวญี่ปุ่น   ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภค   แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่น   พร้อมศึกษานวัตกรรมอาหาร  แนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  ในงาน  Foodex Japan 2016   ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหาร และเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  มีผู้แสดงสินค้า  3,000  ราย  จาก  79   ประเทศ   และมีผู้เข้าชมงานราว  77,000  คน   จัดขึ้นเพื่อเจรจาธุรกิจเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายปลีก   โดยผู้ประกอบการ ของไทย สามารถนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง พร้อมพบปะและเจรจาธุรกิจ  Business Matching  กับผู้นำเข้าสินค้าอาหารจากทั่วโลก พร้อมสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่สนใ จ นำเข้าผลิตภัณฑ์อาห า รของไทย ...